19 May 2008

บางส่วนของ หนังสือ วิธีสร้างบุญบารมี Merits

หนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" พระนิพนธ์ของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ขอยกบางส่วนมาดังนี้

การทำทานนั้น จะได้บุญมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 ประการคือ
1. วัตถุที่ให้ต้องบริสุทธิ์ ได้มาโดยสุจริต
2. เจตนาในการให้ทานต้องบริสุุทธิ์ โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงเพื่อเป็นการขจัดความโลภ และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุข
โดยต้อง มีความยินดีก่อนที่จะให้ แล้วในขณะให้ก็มีความยินดี แล้วหลังจากให้แล้วนึกถึงก็ปลื้มใจ ซึ่งก็จะส่งผลให้ร่ำรวยในวัยต่างๆกัน
3. เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์ หมายถึงบุคคลผู้รับทานต่างกัน ทานนั้นก็มีผลมากน้อยต่างกัน เช่น

"แม้จะทำทานแก่สัตว์ดิรัจฉาน มากถึง 100 ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์" และ

"การให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล แม้จะให้มากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล 5 แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม"

"การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายวิหารทาน (การสร้างโบสถ์ สร้างสิ่งสาธารณประโยชน์) แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม"

"การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง (100 หลัง) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน (สอนธรรมะแก่บุคคลอื่น การพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ) แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม"

"การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า การให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม"

"การให้อภัยทานก็คือ การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่น แม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อละ 'โทสกิเลส' และเป็นการเจริญ 'เมตตาพรหมวิหารธรรม' "

"อย่างไรก็ดี การให้อภัยทาน แม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่นๆ ทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 'ฝ่ายศีล' เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน"

"คำว่า 'มนุษย์' นั้น คือผู้ืที่มีใจอันประเสริฐ คุณธรรมที่เป็นปกติของมนุษย์ที่ต้องทรงไว้ให้ได้ตลอดไป ก็คือศีล 5" "ผู้ที่จะมีวาสนาได้เกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องพร้อมด้วยมนุษยธรรม 10 ประการเป็นปกติ (ซึ่งรวมถึงศีล 5 ด้วย)"

และ
  • ผู้ที่รักษาศีลข้อ 1 ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต: จะแข็งแรง ปราศจากโรคภัย อายุยืนยาว ไม่มีอุบัติเหตุ
  • ผู้ที่รักษาศีลข้อ 2 ด้วยการไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่น: จะได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น ทรัพย์สมบัติไม่วิบัติไปด้วยภัยต่างๆ
  • ผู้ที่รักษาศีลข้อ 3 ด้วยการไม่ล่วงประเวณีในคู่ครองหรือคนในปกครองของผู้อื่น: จะโชคดีในความรัก มักได้พบรักแท้ที่จริงจังและจริงใจ ไม่ต้องอกหัก อกโรย อกเดาะ ลูกก็จะว่านอนสอนง่าย ไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวง และจะนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่ตระกูล
  • ผู้ที่รักษาศีลข้อ 4 ด้วยการไม่กล่าวมุสา: จะมีเสียงไพเราะ พูดจามีเหตุมีผล มีไหวพริบในการเจรจา มีผู้เชื่อฟังและเชื่อถือ
  • ผู้ที่รักษาศีลข้อ 5 ด้วยการไม่ดื่มสุราเมรัย เครื่องหมักดอง ของมึนเมา: จะเป็นผู้มีสมอง ประสาท ปัญญา ความคิด แจ่มใส เรียนสิ่งใดก็แตกฉาน และจำได้ ไม่เสียสติ วิกลจริต ไม่เป็นโรคสมอง

"แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล 227 ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อยมานานถึง 100 ปี ก็ยังได้บุญกุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบนานเพียงชั่วไก่กระพือปีก ช้างกระดิกหู"

"แต่ตราบใดที่เราท่านทั้งหลายยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อย โดยทำทุกๆ ทางเพื่อความไม่ประมาท โดยทำทั้งทาน ศีล ภาวนา สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้ จะถือว่าการเจริญวิปัสสนาภาวนานั้นลงทุนน้อยที่สุด แต่ก็ได้กำไรมากที่สุด ก็เลยทำแต่วิปัสสนาอย่างเดียว โดยไม่ยอมลงทุนทำบุญให้ทานใดๆ ไว้เลย เมื่อเกิดชาติหน้า เพราะเหตุที่ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เลยมีแต่ปัญญาอย่างเดียว ไม่มีจะกินจะใช้ ก็เห็นจะเจริญวิปัสสนาให้ถึงฝั่งพระนิพพานไปไม่ได้เหมือนกัน"

"ผู้ใดแม้จะทำสมาธิจนจิตเป็นฌานได้นานถึง 100 ปี และไม่เสื่อม ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่มองเห็นความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็ตาม"

"ก็คิดใคร่ควรญถึงความเป็นจริง 4 ประการดังต่อไปนี้ หากทำแล้วพระพุทธองค์ตรัสว่า 'จิตของผู้นั้นไม่ห่างจากวิปัสสนา และเป็นผู้ที่ไม่ห่างจากมรรค ผล นิพพาน' คือ..."

"1) มีจิตใครครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน (การระลึกถึงความตาย)"

"2) มีจิตใครครวญถึงอสุภกรรมฐาน (ซากศพ)... ในทันใดที่ตายลง แม้แต่ผู้ที่เคยสนิทสนม.. ต่างพากันรังเกียจ.. สังขารของเราในที่สุดก็เป็นเช่นนี้ไม่มีอะไรคงเหลือไว้เลย"

"3) มีจิตใครครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน... ใครครวญให้เห็นตามสภาพความเป็นจริงที่ว่า อันร่างกายของคนและสัตว์ ที่ต่างก็เฝ้าทะนุถนอมรักใคร่ว่าสวยงาม เป็นที่สนิทเสน่หาชมเชยรักใคร่ซึ่งกันและกันนั้น แท้ที่จริงแล้วก็เป็นของปฏิกูล สกปรกโสโครก ไม่สวย ไม่งาม ไม่น่ารักใคร่ทะนุถนอม..."

"4) มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน... อันที่จริงร่างกายของเราเองก็ดี ของผู้อื่นก็ดี ไม่ใช่ตัวเราของเราแต่อย่างใดเลย เป็นแต่เพียงธาตุ 4 มาประชุม เกาะกุมรวมกันเพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ และสิ่งเหล่านี้ก็ทนอยู่ในสภาพที่รวมกันเช่นนั้นไม่ได้..."

"...เช่นนี้แล้ว เหตุใดเราท่านทั้งหลายจึงต้องพากันดิ้นรนขวนขวายสะสมสิ่งที่ในที่สุดก็จะต้องทิ้ง จะต้องจากไป ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายวันเวลาอันมีค่าของพวกเรา ซึ่งก็คงมีไม่เกินคนละ 100 ปี ให้ต้องโมฆะเสียเปล่าไปโดยหาสารประโยชน์อันใดมิได้ เหตุใดไม่เร่งขวนขวาย สร้างสมบุญบารมีที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐ ซึ่งจะติดตามตัวไปได้ในชาติหน้า"

"แม้หากสิ่งเหล่านี้จะไม่มีจริง ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ อย่างเลวพวกเราก็เพียงเสมอตัว มิได้ขาดทุนแต่อย่างใด หากสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้มีจริง ดังที่ปราชญ์ในอดีตกาลยอมรับแล้ว เราท่านทั้งหลายไม่สร้างสมบุญและความดีไว้ สร้างสมแต่ความชั่วและบาปกรรมตามติดตัวไป เราท่านทั้งหลายมิขาดทุนหรือ เวลาในชีวิตของเราที่ควรจะได้ใช้ให้เป็นประโยชน์กลับต้องมาโมฆะเสียเปล่า ก็สมควรที่จะได้ชื่อว่าเป็น 'โมฆบุรุษ' โดยแท้"

5 comments:

Anonymous said...

อยากสั่งพิมพ์แจกบ้างค่ะ ทำไงค่ะ ถ้าช่วยตอบทาง emailได้ยิ่งดีเลยค่ะ ขอขอบคุณ และโมทนาค่ะ กำลังมองหาโรงพิมพ์อยู่เหมือนกัน

Anonymous said...

ลืมฝากemail addressค่ะ
benjamart@hotmail.com

Anonymous said...

คุณ ณุชค่ะ

ขอบคุณนะค่ะที่กรุณาตอบ คือว่าอยากจะพิมพ์แจกคนที่ทำงานเป็นของขวัญวันปีใหม่น่ะคะ ประมาณ 100 เล่ม เขามีในสต็อกรึเปล่าค่ะ แล้วส่งให้รึเปล่า

ขอบคุณค่ะ
เบญจมาศ

Anonymous said...

สวัสดีค่ะ
พอดีสนใจอยากสั่งพิมพ์บ้าง ไม่ทราบว่าราคาเล่มละเท่าไหร่ เเล้วจะจ่ายเงินอย่างไรคะ อีเมลค่ะ borisoot@hotmail.com

doctormuis said...

อยากจะพิมพ์แบบเจ้าเดียว 500 เล่ม ได้ไหมค่ะ ราคาเท่าไร ช่วยตอบที่ doctormuis@yahoo.co.th นะคะ ขอบคุณค่ะ

Add to Google Reader or Homepage