01 December 2007

Transformers กับ งานที่รัก

ใจเต้น ตึกตัก ตึกตัก เมื่อเห็น บัมเบิลบี แปลงร่างเป็น เชฟวี่ คามาโร่สีเหลืองส้ม และเมื่อ ออพติมัส พราม แปลงเป็นรถ 18 ล้อ พลังมหาศาล...

คุณเคยไหมที่เห็นอะไรที่ชอบมากๆ แล้วหัวใจมันเต้นตึกตัก ตึกตัก หายใจไม่สะดวก ไม่อยากจะกระพิบตา อยากจะเข้าไปสัมผัส ไปอยู่ตรงนั้น ฉันเป็นเลยหละกับ เพลงแจ๊ส และ รถยนต์...

ดู Transformers ทำให้ฉันรู้สึกถึงความรักของฉันในยานยนต์ ความเร็ว และเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของมัน จากที่ช่วงหลังมานี้ รู้สึกเหนื่อยหน่ายในงาน และคิดค้นหาว่า ถ้าออกจากงานนี้จะไปทำงานอะไรที่ใจรัก ยังคิดไม่ออกซะทีเดียว แต่ Transformers, Initial-D, และ Cars ทำให้ใจตึกตัก และตาเป็นประกายได้ ฉันก็ว่า ฉันคงโชคดีแล้วหละที่ได้มีโอกาสทำงานที่ฉันรัก เพียงแต่บางครั้ง การมีัหัวหน้าที่มีทัศนคติที่แตกต่างกับเรามาก และงานที่บีบคั้นทางเวลามากเกินไป ก็ทำให้เราอ่อนระโหยโรยแรง และพาให้เราลืมความรักในงานนั้นไปได้ เพียงแต่ว่าถ้าเราจะลาออก เพื่อหางานเดิมในบริษัทใหม่ เพื่อนคนที่เคยทำแบบนั้นบอกว่า มันก็ "เหมือนๆกัน" คนดีและคนไม่ดีมีอยู่ทุกที่ ยิ่งคนที่คิดไม่เหมือนเรา ยิ่งมีอยู่ทั่วพื้นปฐพี นอกจากถ้าคุณไม่ชอบนโยบายของบริษัท หรือบริษัทเห็นแก่ตัวเกินไป ทำลายสิ่งแวดล้อม นี่ก็เป็นอีกเรื่องนึงนะ

Transformers เป็นหนังที่สามารถดึงความเป็นเด็กของคนออกมาได้ แค่ฉันมองรูปหัวใจก็เริ่มเต้นแรง มันแจ๋วสุดๆ เวลาที่หุ่นยนต์แปลงร่าง และต่อสู้กัน มีฝ่าย Autobots ฝ่ายดี และ Decepticons ฝ่ายชั่ว ก็เหมือนในชีวิตจริงนะ เพียงแต่ แต่ละฝ่ายอาจไม่แสดงออกมากถึงขนาดนั้น นักการเมืองไม่มีใครมาบอก ผมฝ่ายชั่วคร้าบ เลือกผม แล้วเราจะเห็นแก่ตัวกัน เราจะสู้รบกัน พวกพ้องเราจะเจริญ เราจะรักตัวเราเองกัน หรือผมฝ่ายดี เราจะไม่เอาประโยชน์ใส่ตัว เห็นแก่ส่วนรวม เราจะมาเสียสละกัน คุณและคนข้างบ้านจะรวยไปพร้อมๆกัน... คนแบบไหนก็จะเืลือกคนแบบเดียวกันนั้นแหละนะ ฉะนั้นต้องปลูกฝังความดี ความเสียสละในคนของเรา เพราะความคิดเขา จะเป็นตัวบ่งชี้การกระทำในทุกๆด้านของเขา แม้ Transformers จะจบแย่ไปหน่อย และมีฉากที่ไม่น่ามีบ้าง แต่มันก็ทำให้ใจฉันเต้นรัวได้เลย ครั้งสุดท้ายที่รู้สึกอย่างนั้น ก็ตอนดู Dragon ball สมัยกระโน้น...

สำหรับงานที่ฉันรัก เขาเรียกกันว่า Product Planning และฉันก็ถือว่าเป็น Product Planner ทั้งๆที่ฉันเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่างานอย่างนี้มันมี และมันเรียกว่าอะไร ฉันจึงจะขอเล่าสิ่งที่ฉันทำ จากประสบการณ์...

สำหรับในวงการรถยนต์นั้น Product Planner ต้องใช้ความรู้ หรือ ความใฝ่รู้ ทั้งทางด้านเทคนิค และทางการตลาด รวมถึงการวางกลยุทธด้วย ฉันจะต้องดูว่า รถแบบนี้จะขายใคร คนแบบไหนจะซื้อรถคันนี้ และรถแบบนี้ควรจะมี spec และเทคโนโลยีอะไรบ้าง ที่ลูกค้าจะยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้มัน ฉันจะวางแผนแบบนี้สำหรับรถใหม่ที่ยังไม่วางขายในตลาด บางทีเราเพิ่งจะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ไป ฉันก็ต้องเริ่มวางแผนสำหรับ Model Change หรือ Minor Change ที่จะมาถึงในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้าแล้ว มันสนุกนะ กับการศึกษาติดตามเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์ แต่เทคโนโลยีที่ฉลาดมากๆ ก็จะมีราคาแพงมากๆไปด้วย ในการเลือกว่าจะเอาสเป็คใดสเป็คหนึ่งมาใส่รถยนต์นั้น เราต้องดูทั้งราคา ประโยชน์ ความปลอดภัย และคู่แข่งด้วย แต่สเป็คที่มันฉลาดมากๆ มันก็ล้ำจริงๆนะ มันทำให้หัวใจเต้นแรง และปากร้อง โห! ได้เลย อีกหน่อยอุบัติเหตุก็คงจะฆ่าคนทั้งในและนอกรถได้น้อยลงอีกเยอะ

ประเทศไทยเราไม่ได้ผลิตรถยนต์เอง ฉะนั้้นหน้าที่ของคนไทยในบริษัทรถยนต์ก็คือ ศึกษาความต้องการของคนบ้านเรา แล้วเสนอไปให้ประเทศเจ้าของบริษัทศึกษาและพัฒนาต่อ สิ่งที่ขอไปก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แล้วแต่ว่า ทั่วโลก หรืออย่างน้อยในเอเชีย จะมีความต้องการเหมือนๆ กันอย่างเราหรือเปล่า ถ้าเขาทำมาแล้วขายได้หลายที่ เขาก็จะทำให้ เราจะเห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้บริษัทใหญ่ๆ แต่ละบริษัทก็จะต้องมี Asia Division กัน ในไทยบ้าง หรือที่สิงคโปร์บ้าง เพื่อที่จะลงทุนแล้ว ใช้ได้ทั้งเอเชีย อย่างพวกโฆษณาแชมพูนี่เห็นได้ชัดเลย แค่เปลี่ยนภาษาก็ใช้ได้ ไปดูทีวีที่สิงคโปร์ อ้าวเหมือนในไทยเลย ถึงว่าเขาไปหาคนหน้าอย่างนี้มาได้จากไหน??

การวางแผนผลิตภัณฑ์ของฉันนี่ ต้องวางด้วยว่า จะใส่สเ็ป็คอะไรไปในรถรุ่นไหน แล้วราคาควรจะเป็นเท่าไร ถ้าคิดตามสเป็คแล้ว แค่ควรจะเป็นเท่าไรนะ คนที่ตั้งราคาจริงๆ ก็มีอีกแผนกนึง งานนี้ต้องใช้ทั้งการคิดวิเคราะห์ และความละเอียดรอบคอบเยอะใช่ย่อยเลยนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวรถผลิตออกมาแล้ว รุ่นสูงไม่มี ABS แต่รุ่นต่ำดันมี

แล้วที่ตื่นเต้นอีกอย่างสำหรับฉันก็คือ การได้เห็นและเป็นเสียง เสียงหนึ่ง ในการเลือกดีไซน์ของรถรุ่นใหม่ ทางบริษัทแม่จะออกแบบมาซัก 3แบบ 3ทิศทาง 3ความรู้สึก แล้วก็จะโวทกัน ว่าประเทศไหนเอาแบบไหน ประเทศที่ขายเยอะหน่อยก็จะมีเสียงหนักหน่อย สนุกดีนะ แล้วเราจะลุ้นว่า เราจะได้รถสวยๆอย่างที่เราชอบ มาให้คนไทยใช้กันหรือเปล่า ตื่นเต้ล

นอกจากนี้ ก่อนจะเปิดตัว ฉันก็ต้องไปสอน Salesman ที่จะขายรถอยู่ที่ Dealer ด้วย ว่ารถใหม่นี่ มีดีอะไร และคิดว่าคนแบบไหนจะซื้อ ที่สำคัญคือ ดีกว่าคู่แข่งอย่างไรบ้าง สนุกดี ได้เจอพี่ๆที่ขายรถ ไ้ด้รู้จากประสบการณ์เขาว่า ลูกค้าเราเป็นอย่างไร เคยคุยกับพี่เซล ภาคใต้ เขาบอกเวลาขายก็ต้องพูดภาษาใต้ ไม่งั้นมัน ทองแดง

จะว่าไปฉันก็รัก และพอใจกับงานของฉันมากนะ เพียงแต่ต้องทำใจเรื่องหัวหน้า และงานเร่งด่วนสักหน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้วันอาทิตย์ ก็ต้องเข้าไปใช้แรงงานสมองที่ออฟฟิสทำงานเร่งด่วนอีก ยังไง ยังไง ก็ขอให้ทุกคนโชคดี และมีความสุขกับงานที่ทำค่ะ ฉันคิดว่า เราทำงานเราให้ดีที่สุด อย่างมีจริยธรรม มันก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมแล้วหละคะ เพราะเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่ขับเคลื่อนรถประเทศไทยเหมือนกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหน ทำดีๆไว้ไม่เสียหลายแน่นอนค่ะ!

1 comment:

Anonymous said...

อ่านดูแล้ว เหมือนเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะ อาจจะเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้ผมตัดสินใจไปญี่ปุ่น และอยู่กับบริษัทนี้มาได้นานขนาดนี้ แต่ก็อดนึกสงสัยไม่ได้ว่า การตัดสินใจแต่ละเรื่องในบริษัทต่างชาติอื่นๆจะยากเหมือนบริษัทญี่ปุ่นรึเปล่า เพราะบริษัทญี่ปุ่นจะใช้ประสบการณ์ และความรู้สึกของผู้บริหารเป็นส่วนสำคัญ แล้วค่อยหาข้อมูลมาสนับสนุนตามมา แต่ระยะหลัง ผลการวิจัยก็มีบทบาทมากทีเดียว แต่กว่าจะขอให้บริษัทแม่ยอมทำตามแต่ละเรื่อง ก็ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาอธิบายตั้งไม่รู้กี่รอบ โดยเฉพาะเรื่องที่คนใหญ่คนโตมีทัศนะคติที่แตกต่างด้วยแล้วยิ่งยากมากเลย

Add to Google Reader or Homepage