27 August 2007

สภาพฟุตบาทในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ฟุตบาทแถวสำโรง ขรุขระ มีท่อ เสริมด้วยป้ายโฆษณา


ฟุตบาทแถวสำโรง มอเตอร์ไซค์ก็แล่น แต่ขนาดมอเตอร์ไซค์ยังหลบฟุตบาท


ฟุตบาทแถวสำโรง แถวนี้มีท่อหลายแบบมาก แล้วทำไมถังขยะพิษมันเยอะจัง


ฟุตบาทข้างโรงเรียนสวนกุหลาบ น้องๆต้องใช้วิชาตัวเบา หลังเลิกเรียน


ฟุตบาทที่ถนนวิทยุ ดูเหมือนจะดี แต่เด้งขึ้นเด้งลงเก่ง และจะมีกับดักน้ำสกปรกเวลาฝนตก

สุวรรณภูมิ ความภูมิใจของ...ใคร?

จะว่าเชยก็ได้ที่เพิ่งจะเขียนเกี่ยวกับสุวรรณภูมิ คราวที่กลับมาประเทศไทยจากสิงคโปร์จำได้ว่า เป็นวันเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิวันแรกพอดี วันที่ 28 ก.ย. 2549 ตอนนั้นยังต้องนั่งรถเข็น ยังถามพี่ที่เข็นเลยว่า เมื่อไรสนามบินจะเสร็จคะ พี่ก็ตอบว่า นี่เสร็จแล้ว แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำการคุยของเรา รู้สึกช้ำใจตั้งแต่วันนั้น จนเมื่อวานนี้ได้ไปอีกครั้ง ไม่ต้องนั่งรถเข็นแล้ว ก็รู้ว่าถึงคราวที่จะต้องเขียนถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ที่โฆษณาว่าเป็นความภูมิใจของเราซะแล้ว








ยังจำได้ตอนที่กลับมาประเทศไทยเมื่อปีที่แล้ว มองลงมาเห็นสนามบินใหม่ของเราจากบนฟ้า รู้สึก สนามบินใหม่ ยิ่งใหญ่และสวยจัง แต่พอเครื่องบินลงจอด และได้เห็นพื้น เจี๊ยก! ทำไมเป็นพื้นหินขัด ทำไมใช้พื้นแข็งย้อนยุคขนาดนี้ คนเท้าเจ็บอย่างเราก็หัวใจน้อยๆสลาย ว่าเราจะมีสนามบินพื้นพรมกับเขาบ้างแล้ว ตัวห้อยด้วยความผิดหวังอยู่บนรถเข็น





มาถึงตรงสายพานรอกระเป๋า ก็ไม่มีการตีเส้นล้อม ให้คนยืนหลังเส้นเพื่อความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีเส้นเขียวสักเส้นเลย









พอรถเข็นเริ่มแล่นเข้ามาในตัวสนามบินจริงๆ ก็เห็นถึงความมืดสลัวมัวซัวของภายใน รู้สึกว่า ทำำไมไม่เปิดไฟหน่อย มืดน่ากลัวและหดหู่จัง












แล่นต่อมาก็พบแอร์ต่างดาว รูปร่างประหลาด เกะกะชอบกล และโชคดีนะนี่ ที่ตอนนั้นขอรถเข็น wheelchairไว้ ไม่อย่างนั้น คนเดินด้วยไม้เท้าอย่างฉัน คงเดี้ยงอยู่กลางทางเป็นแน่ ไกลเหลือเกิน น่าจะเป็นกิโลได้ เอาจริงๆไกลก็ไม่ว่าหรอก ใหญ่ก็ต้องไกลเป็นธรรมดา แต่นี่ข้างทางมันก็ มืดสลัว น่ากลัว แถมพื้นยังแข็ง คงต้องเจี๊ยกจ๊าก ไปตลอดทาง









ที่ช็อกอีกคือ เพดานที่เปลือยโป๊ ไม่อายรึไง นึกว่ายังไม่เสร็จ ให้ความรู้สึกเหมือนเดินใต้ทางด่วน หรืออยู่ในที่จอดรถห้าง คนนั่งรถเข็นตัวน้อยก็หัวใจสลาย

ต่อมา อันนี้เด็ดจริง พอเห็นยักษ์ 2ตนแล้ว มองไปข้างหน้า ก็เห็นทางลาดใหญ่มาก นำขึ้นไปที่ตรวจคนเข้าเมือง แล้วคิดดู ทางลาดพื้นหินขัด จะลื่นขนาดไหน แล้วคนพิการจะทำไงนี่ แค่มนุษย์ส้นสูงก็แย่แล้ว มองไปข้างๆ ก็ไม่มีที่เกาะอีก ทางที่เป็นยางสีเหลืองให้คนตาบอดเดินก็ไม่มีเลยสักที่ สร้างสนามบินทั้งที ก็น่าจะทำให้ดี ในหลายๆด้าน

ไปสุวรรณภูมิอีกที คราวนี้เดินปร๋อแล้ว แต่พอเข้าไปข้างในอีกครั้ง ก็อยากจะโดดไปยืนกลางลานแล้วตะโกนสุดเสียงว่า "เสียดายเงิน!!" ทำไมเอาเงินชาติเรามาทำสนามบินอย่างนี้ อยากลงไปทุบพื้นแล้วตะโกนว่า "มันความเห็นแก่ตัว หรือความบ้า" ทำสนามบินแพงๆแล้วได้ออกมาแบบนี้

ในยุคนี้แล้วจะสร้างสนามบิน ทำไมไม่ทำให้มีจุดเด่นในการประหยัดพลังงาน ปากก็บอกพอเพียง นี่มันขาดๆเกินๆยังไง แล้วจะสร้างสนามบินให้เป็นศูนย์กลางแห่งเอเชีย ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ใช้สอย ทำไมไม่ทำให้เป็นมิตรต่อผู้พิการ (disability friendly) ทำไมไปเล็งถึงความสวยงามอย่างเดียว เราจะสร้างสนามบินไม่ใช่สร้างโอเปร่าเฮ้าส์

อย่างโอเปร่าเฮ้าส์ที่ออสเตเรีย เคยเรียนมาว่า ถ้าดูตาม Project Management แล้วถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะงบก็บานปลาย เสร็จก็ไม่ตามกำหนด แต่ถ้าดูว่า มันกลายเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว และกลายเป็นจุดเด่นของออสเตเรียแล้ว ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จที่ได้สร้างมา

แต่นี่เราจะสร้างสนามบินที่ดีระดับโลก ระดับภูมิภาค ไม่ใช่สร้างโรงละครอย่างโอเปร่าเฮ้าส์ หรือตึกทุเรียนที่สิงคโปร์ ต้องคำนึงถึงทั้งการออกแบบ การใช้พลังงาน การใช้สอย และความปลอดภัย ฉันว่าเขาไม่ได้คิดนอกกรอบ แต่ คิดผิด สนามบินที่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินใต้ทางด่วน สนามบินร้อนๆ สนามบินที่มืดแต่ใช้ไฟมากที่สุด สนามบินที่ร้าว มันช้ำใจ

แล้วทางเข้าประตูหมุนๆ หรือ revolving door นี่ จะทำมาทำไม ไม่มีใครเขาใช้กันแล้ว... เข้าก็ไม่สะดวก








แล้วมีเก้าอี้ให้นั่งก็ทำแข็งก้นอีก ทำนิ่มๆแบบปรกติหน่อยไม่ได้หรือ









เมื่อตั้งสติได้แล้ว ก็จะขอชี้จุดบกพร่องที่ควรได้รับการปรับปรุง ที่พบเมื่อวานนี้ ดังต่อไปนี้

มีประตูแต่ก็เอาเก้าอี้ไปตั้ง ไม่ให้ใช้


ป้ายบอกทิศทางที่เอากระดาษมาปิดแก้ไขอย่างบ้านๆ (เขาปิดรถไฟไว้ เพราะยังสร้างไม่เสร็จ)


สนามบินซะสวย ทำไมไม่สร้างโต๊ะพนักงานรักษาความปลอดภัยให้ดูเรียบร้อยหน่อย มีโต๊ะไม้บ้านๆมาวาง อย่างกับโต๊ะคุณครูตอนสมัยประถมนู้น


โทรศัพท์อัจฉริยะ เพิ่งเคยเห็นคีย์บอร์ดเหล็กเป็นครั้งแรก เสียคงแพงน่าดู แล้วทำอักษรเบลซักหน่อยได้ไหมนี่


พื้นมีฝาท่ออะไรไม่รู้ ยังกะฟุตบาท


แถมมีหลุม


ตรงส่วนขายอาหาร ด้านที่หันออกทางเดิน มีสายไฟรุงรัง ดูอันตรายอยู่ด้วย


กระเป๋าวางได้ อย่างไม่ต้องมีคนดูแล ช่วงที่มีวางระเบิด ตอนนั้นที่ดอนเมืองก็เข้มงวดกันดี ตอนนี้ไหงละเลย ไม่มีประกาศเลยว่าอย่าวางกระเป๋าโดยไม่มีคนเฝ้า และมีบางจุดด้วยที่วางของไว้เฉยเลย ถ้ามีคนเอาของอันตรายมาวางเนียนๆ ใครจะรู้ จริงๆถ่ายรูปมาด้วย แต่ไม่อยากเอาขึ้น กลัวจะเกิดจริง


เมื่อวานไปตรงขาออก ไม่รู้ทำไม ตรงแถวโซนEทั้งโซน จนถึงที่จะลงมาบันไดเลื่อน มันเหม็นๆ เหมือนอึอึ๊ อายเขาจริง


สะพานข้ามไปอาคารจอดรถ ไม่รู้ออกแบบยังไง รถเข็นไปแล้วล้อติดร่อง ไปต่อไม่ได้


กลุ่มผู้เคราะห์ร้าย ล้อตกร่อง อีกราย


แล้วยังสามารถเก็บกักน้ำได้อีกต่างหาก มืดๆ น้ำขัง ไม่มีคนมาถู อันตรายนะนี่



รูปปั้นอย่างนี้ที่ ติดอยู่ข้างทางหลวง แถวสุวรรณภูมิ มีทำไม เปลืองไหมนี่ ตัวนึงคงแพงไม่น้อย


แล้วตอนกลางคืน รูปปั้นนั้นก็สามารถมองเห็นได้เป็นแบบนี้ จะเห็นก็เมื่อแล่นมาใกล้แล้วเท่านั้น อยู่ดีๆก็มีตัวอะไรไม่รู้โผล่มาข้างทาง หลอนจริงๆ ยิ่งกลัวๆอยู่

*****


สนามบินปรกติแบบนี้ ดูสบายกว่าไหม (จุดรอขึ้นเครื่องของสนามบินแชงกิ สิงคโปร์)

26 August 2007

ฟุตบาทราชดำริ จะดีแล้ว (หลังวันที่ 11 พ.ย.)

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ร่วมกับ สมาคมคนพิการ สำนักงานองค์การคนพิการสากลประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Disabled Peoples' International Asia-Pacific Region หรือ DPI Asia-Pacific) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สยามซีแพค บล็อค และหน่วยงายอื่นๆ พาคนพิการตรวจสอบ ฟุตบาทถนนราชดำริ ในโครงการ “ปรับปรุงทางเท้าริมถนนราชดำริให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้” โดยจะปรับปรุงตั้งแต่แยกราชประสงค์ถึงสวนลุมพินี เป็นระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร

เป็นเรื่องน่ายินดี ที่จะมีทางเท้าที่ดี ทั้งสำหรับคนทั้วไปและคนพิการในกรุงเทพแล้ว แต่ทำไมต้องซีแพค ทำไมไม่ทำเป็นปูนปรกติ ที่เห็นกันอยู่ทั่วกรุงเทพฯว่าพอใช้ไปนานๆ ก็ยุบ ก็กระโดกกระเดก

โครงการนี้จะเสร็จและเปิดใช้ ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2550 ฉลองวันคนพิการแห่งประเทศไทยพอดี โดยจะมีการปิดถนนเพื่อฉลองในวันนั้นด้วย โครงการนี้จะเป็นโครงการนำร่อง ในการปรับปรุงทางเท้า และสถานีรถไฟอีก 60แห่งทั่วกรุงเทพฯ






สำหรับปัญหาที่สำรวจพบในวันนั้นคือ
  1. ทางเท้า เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่สม่ำเสมอ มีน้ำขัง
  2. ฝาท่อปิดสายไฟ ฝาท่อน้ำ ชำรุดหรือหายไป
  3. ตลอดทางเท้าของราชกรีฑาสโมสร มีสายไฟฟ้าห้อยตกลงมา ใกล้ระดับความสูงของคนเดินเท้า
  4. ฝาท่อระบายน้ำที่เป็นตะแกรงเหล็ก มีช่องกว้าง ล้อรถวีลแชร์ ตกหรือติดขัด ควรปรับให้เล็กลง และควรเป็นแนวขวางกับทางเท้า
  5. ทางเดินที่มีช่องทางเดินสำหรับคนพิการ ไม่ต่อเนื่องไม่ได้มาตรฐาน
  6. ไม่มีปุ่มเตือนคนตาบอดเมื่อถึงทางข้ามถนน
  7. ทางข้าม ตรงเกาะกลางถนนไม่มีทางราบต่อเนื่องให้รถเข็นผ่านตลอด แต่กลับตั้งสิ่งกีดขวาง เช่น กระถางต้นไม้
  8. มีสิ่งกีดขวางบนทางเท้า เช่น หัวดับเพลิง หากเคลื่อนย้ายไม่ได้ ควรปลูกต้นไม้รอบสิ่งกีดขวาง
โดย น.ส.สุรีพร ยุพา แห่งสำนักงานองค์การคนพิการสากล ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า "ทางเท้าที่ไม่ดี ฝาปิดท่อต่างๆ ที่ชำรุดหรือหายไป สายไฟที่พาดอยู่บนศีรษะ มีความเสี่ยงที่คนเดินถนนทุกคน จะประสบอุบัติเหตุ หกล้ม หรือถูกไฟฟ้าช็อตได้ ไม่เฉพาะคนพิการ ดังนั้น การปรับปรุงพื้นที่ให้มีสภาพดี ย่อมสะดวกและปลอดภัยกับคนทุกคน และจะทำให้คนพิการสามารถเดินทาง และออกมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่เป็นภาระของสังคม"


ฉันคิดว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ฟุตบาทเป็นทางสาธารณะ ที่ควรจะบำรุงรักษาให้ดีอยู่แล้ว การที่เราจะทำอะไรที่ควรทำอยู่แล้ว แล้วมาฉลองอย่างยิ่งใหญ่ อย่างกับว่าเราได้รับอะไรที่เป็นเกียรติมากนั้น มันขัดกับความรู้สึกและความเป็นจริงอยู่ ข้อบกพร่องที่ควรได้รับการแก้ไข กลับได้รับการเฉลิมฉลองว่าจะแก้แล้ว แต่ก็ขอให้อย่างหมดความหวัง ประเทศเรากำลังก้าวไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ดีขึ้นอย่างแน่นอน

ขอบคุณ The Nation, คุณ krisana, uNdErGrOuNd-pOwErLinEs + StrEEt SiDe ISSUES

25 August 2007

ตัวจริง ชัดเจน พรรคพลังประชาชน


วันศุกร์ ที่ 24 สิงหาคม 2550 รายการตัวจริงชัดเจน ทางช่อง TITV สัมภาษณ์ นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน พรรคใหม่ที่เพิ่งประกาศตัวหัวหน้าพรรคสดๆร้อนๆ เมื่อเช้าวันนี้

ดูไปฟังไป ก็จับใจความไม่ค่อยได้มาก เพราะคุณสมัคร มักจะถามคุณจอม เพชรประดับ ผู้ดำเนินรายการแทนซะมาก แต่เท่าที่จับใจความได้คือ

คุณสมัครเปรียบคอร์รัปชั่น เหมือนไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ทำให้คนตายเยอะกว่าแต่กลับไม่ถูกพูดถึง เหมือนคอร์รัปชั่นที่มีอยู่แล้วตั้งแต่ก่อน ไข้หวัดนกเหมือนคอร์รัปชั่นยุคทักษิณ ไข้หวัดนกคนตายน้อยแต่มีข่าวเยอะ

คุณสมัครบอกคุณทักษิณซื้อที่รัชดา มาอย่างถูกต้อง เลยโดยสอบ ถ้าซื้อแบบไม่ถูกต้อง ก็ไม่มีปัญหาไปแล้ว อันนี้ฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ว่าถูกแล้วจะโดนสอบได้ไง

แต่ที่น่าสงสารที่สู้ดคือ คุณ จอม เพชรประดับ พอถามอะไรที่คุณสมัครจะไม่ตอบ คุณสมัครก็จะผันตัวเองไปเป็นผู้ดำเนินรายการและถามคุณจอมแทนทู้กที เอ้าคุณจอมสู้ๆ

24 August 2007

รัฐธรรมนูญปี 2550 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป


ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีผลบังคับใช้

วันนี้เวลา 16 นาฬิกา 45 นาที

ถวายร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพื่อทรงลงพระปรมา
ภิไธย ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สืบไป
สำหรับขั้นตอนต่อจากนี้ จะได้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลใช้บังคับทันทีในวันนี้


แล้วรู้ไหมว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มีด้วยกัน 3สำเนา หรือ 3เล่ม เก็บไว้คนละที่กัน โดยตัวจริงปกทำด้วยทองแท้ เก็บไว้ที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และอีก 2เล่ม ทำด้วย"เงินกะไหล่ทอง" เก็บไว้ที่สำนักราชเลขาธิการ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยกระดาษที่ทำรัฐธรรมูญปี 2550นั้น นำมาจากกรมแผนที่ทหาร เป็นกระดาษไฮเวท แผ่นใหญ่ และทนน้ำสูง ส่งให้คุรุสภา "พับเป็นขนาดสมุดไทย"ก่อน แล้วส่งให้สำนักอาลักษณ์และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เขียนภายใน โดย"เจ้าหน้าที่ลิขิต" 8คน ชุดเดียวกันกับที่เขียน หรือที่ภาษาโบราณเรียกว่า "ชุบ" รัฐธรรมนูญปี 2540


รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550นี้ มีทั้งหมด 592 หน้า 2,368 บรรทัด หนัก 7 กิโลกรัม (หนักเหมือนกันนะนี่รัฐธรรมนูญเรา) โดยหน้าปกมีตราพระครุฑพ่าห์ติด พร้อมลงรักปิดทองทั้ง 6 ด้านตามโบราณราชประเพณี

โอ้โห รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ของเรา

ผลการลงประชามติ รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550

อย่างเป็นทางการ จากสภาร่างรัฐธรรมนูญ

8.20 น. วันที่ 20 สิงหาคม 2550

เที่ยงคืน ของคืนที่ 19 สิงหาคม 2550

20 August 2007

เหตุผลที่ควรรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550


จากสถาบันข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

และจาก คุณชัย ราชวัตร

19 สิงหา 50 ออกเสียงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ


ร่างรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาร่าง

เปรียบเทียบร่างรัฐธรรมนูญ กับ รัฐธรรมนูญปี 2540

ร่างรัฐธรรมนูญมีข้อดีหลายข้อทีเดียว ดูข้อดีของร่างรัฐธรรมูญ เช่น
  • ไม่ให้นักการเมืองเป็นเจ้าของสื่อ
  • ให้สิทธิ และความสำคัญกับผู้พิการมากขึ้น
  • ผู้สูงอายุ และคนไร้ที่อยู่ จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐ
  • โครงการที่จะมีผลต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ต้องมีการรับฟังความคิดเห็น
  • "คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตกรในการผลิตและการตลาด..."
  • ระหว่างอายุของสภาผู้แทนฯจะรวมพรรคไม่ได้
  • กันไม่ให้ ส.ว. กับ ส.ส. เป็นคนที่เกี่ยวข้องกันมากขึ้น
  • 10,000 ชื่อก็สามารถ เข้าชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายได้ (ลดจาก 50,000 ชื่อ)
  • นายกฯอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกิน 8 ปี
  • ผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ สามารถฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
  • ห้ามทั้งภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติฃิภาวะ ของนายกฯ และรัฐมนตรี ให้มีหุ้น
  • ประชาชน 50,000 คนสามารถเข้าชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญไ้ด้ (แต่ก่อนไม่ได้เลย)
ยังไงก็ต้องไปลงประชามติกันให้ได้นะคะ

19 August 2007

ไปกาด หิ้วถุงผ้า ฮ่วมฮักษาสิ่งแวดล้อม

ชาวเวียงฝาง ฮ่วมใจ๋ ไปกาด หิ้วถุงผ้า ฮ่วมฮักษาสิ่งแวดล้อม

ชาวเวียงฝาง จ.เชียงใหม่ ก็ไม่เอาถุง (พลาสติก) ในโครงการลดเมืองร้อน...ด้วยมือเรา โดย บ.โตโยต้า ร่วมมือกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย รณรงค์ให้ทั้งพ่อค้า แม่ค้า และคนเดินตลาด ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก

โครงการเริ่มเก็บสถิติการใช้ถุงพลาสติก ของร้านค้า 100เจ้า ในตลาดถนนคนเดิน ของเทศบาลตำบลเวียงฝาง จ.เชียงใหม่ แล้วให้นักเรียนแกนนำลดเมืองร้อนและทีมงาน แจกถุงผ้า 600 ถุง ให้กับคนที่มาซื้อของและพ่อค้าแม่ค้า เช่นที่ใช้ใบตองห่ออาหาร และมีการจัดกิจกรรมบนเวทีโดยน้องๆแกนนำ ให้ความรู้เรื่องสภาวะโลกร้อน ตอบคำถาม และช่วยกันเดินรณรงค์ตามตลาด เป็นเวลา 2 อาทิตย์ โดยตลาดเวียงฝางนี้ จัดขึ้นทุกๆวันอังคาร

ในช่วงระยะเวลา 3 เดือนของโครงการ พบว่าร้านค้า สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้ถึง 8% คิดเป็นถุงที่ลดได้ 4,860 ใบ หรือ 48.6 กิโลกรัม คิดเป็นปริมาณก็าซเรือนกระจกที่ลดได้ จากกระบวนการการผลิตถุง ถึงประมาณ 100 กิโลกรัม โดยถุงพลาสติกประเภท LDPE 1 กิโลกรัม จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตประมาณ 2 กิโลกรัม

ยอดเยี่ยมจริงๆ คนเวียงฝาง! ขอร่วมปรบมือให้ดังๆ

คนเวียงฝางก็ร่วมไม่เอาถุงพลาสติก แล้วคุณจะยังเอาถุงพลาสติกอีกหรือเปล่า

ร่วมกันพกถุงผ้า ฮ่วมฮักษาสิ่งแวดล้อม

17 August 2007

ปรากฏการณ์ลอยได้อย่างเหลือเชื่อ Incredible levitation effects

ทีมนักฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเซนท์แอนดรูส์ (The university of St Andrews) ในสก็อตแลนด์ สามารถสร้าง "ปรากฏการณ์ลอยได้อย่างเหลือเชื่อ" หรือ "incredible levitation effects"

ศาสตราจารย์ อูล์ฟ ลีอนฮาดท์ (Professor Ulf Leonhardt) และ ดร. โธมัส ฟิลบิน (Dr. Thomas Philbin) แห่งมหาวิทยาลัยเซนท์แอนดรูส์ สามารถค้นพบวิธีกลับแรงแคสสิเมียร์ (Casimir force) ซึ่งเป็นแรงดูด ที่ทำให้จิ้งจกติดอยู่บนข้างฝาได้ด้วยนิ้วเท้าเดียว ให้กลายเป็นแรงผลักได้

แรงแคสสิเมียร์ เป็นแรงที่เป็นผลมาจากกลไกทางควอนตัม (Quantum mechanics) ที่ทำให้วัตถุติดอยู่ด้วยกัน คือ เกิดจากการสั่นของ energy field ในที่ว่างระหว่างของสองสิ่ง มันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อะตอมติดอยู่ด้วยกัน และจิ้งจกสามารถเดินบนเพดานได้

ศ. ลีอนฮาดท์ และ ดร. ฟิลบิน รายงานใน The new Journal of Physics ว่า ด้วยการใช้เลนส์ชนิดพิเศษที่ได้ถูกสร้างขึ้นแล้ว ตอนนี้พวกเขาสามารถทำให้แรงแคสสิเมียร์ ผลัก แทนที่จะ ดูด ได้

โดย ศ. ลีอนฮาดท์ อธิบายว่า "แรงแคสสิเมียร์ เป็นตัวการสำคัญของแรงเสียดทานในโลกนาโน โดยเฉพาะ ในระบบเครื่องกลไฟฟ้าขนาดจิ๋ว (Microelectromechanical system) ระบบเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญ เช่น เครื่องมือกลขนาดจิ๋วที่สั่งให้แอร์แบค (Airbag) ในรถยนต์พองตัว หรือที่ขับเคลื่อนอุปกรณ์ 'lab on chip' ที่ใช้สำหรับการทดสอบยา หรือวิเคราะห์ทางเคมี เครื่องยนต์ขนาดไมโคร หรือนาโน จะสามารถวิ่งได้เรียบกว่า และด้วย น้อยกว่า-หรือ-ปราศจาก แรงเสียดทานเลย ถ้าสามารถความคุมแรงนี้ได้"

ดร. ฟิลบิน กล่าวว่า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปได้ ที่จะทำให้วัตถุขนาดใหญ่เท่ามนุษย์ ลอยได้ มันก็ยังอีกไกลกว่านักวิทยาศาสตร์จะสามารถพัฒนาให้ถึงระดับนั้นได้

การจะออกแบบเลนส์ให้ทำแบบนี้ได้นั้นยุ่งยาก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้ และ การยกให้ลอยนั้น "สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะค่อนข้างไกล"

ขอบคุณ Telegraph.co.uk และ The Nation

13 August 2007

วิจารณ์ อัจฉริยะสร้างได้

อัจฉริยะสร้างได้ : เคล็ดลับพัฒนาอัจฉริยภาพ 8 ด้าน เพื่อก้าวสู่ความเป็นอัจฉริยะ
โดย วนิษา เรซ (Vanessa Race) หรือ หนูดี
สำนักพิมพ์ Red
พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2550
ISBN 978-974-8001-61-6
ปกอ่อน 179 หน้า ราคา 165 บาท


อัจฉริยะสร้างได้ ที่ขายดิบขายดี ต้องจองกัน 1อาทิตย์กว่าจะได้อ่าน แต่ก็เป็นหนังสือดีสมการเฝ้าคอย เขียนสนุก กระตุ้นกำลังใจ และให้ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมอง และความสามารถที่สมองเราจะไปถึงได้ระดับอัจฉริยะในด้านต่างๆ โดยอธิบายถึงทฤษฎี "พหุปัญญา" หรือ Multiple Intelligences ของ ดร. โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) สหรัฐอเมริกา ซึ่ง "หนูดี" ผู้เขียนเป็นลูกศิษย์โดยตรง เธอจบปริญญาโท จาก Harvard ทางด้านวิทยาการทางสมอง (Neuroscience) ในโปรแกรม Mind Brain and Education และเธอก็เป็นผู้ชนะล้านที่ 15 ของรายการอัจฉริยะข้ามคืนด้วย

หนังสืออัจฉริยะสร้างได้ กล่าวถึงอัจฉริยภาพ โดยทฤษฎีพหุปัญญา ว่า มี 8 ด้าน คือ
  1. ภาษาและการสื่อสาร (Linguistics Intelligence)
    พูดได้หลายภาษา ชอบพกหนังสือติดตัว ชอบแต่งกลอนแต่งเพลง ชอบเขียน ชอบเล่าเรื่องที่อ่านให้คนอื่นฟัง คุณหนูดียังสอนวิธีการอ่านเร็วให้ไว้ด้วย
  2. ร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intelligence)
    พวกชอบขยับเขยื่อนเคลื่อนไหว เล่นกีฬา เต้นรำ ประดิษฐ์ของ บังคับเครื่องยนต์ หรือใช้อุปกรณ์เก่ง ไปไหนใกล้ๆมักก็จะเดินไป
  3. มิติสัมพันธ์และการจินตภาพ (Spatial Intelligence)
    จะเป็นคนพวกจินตนาการเก่ง จำเป็นภาพ คิดเป็นภาพ ชอบวาดรูป ชอบดูรูป อ่านแผนที่เก่ง ชอบต่อจิ๊กซอว์ ชอบไฮไลท์เวลาอ่านหนังสือ
  4. ตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intelligence)
    ชอบวางแผน คิดเลขในใจเร็ว กะระยะทาง-น้ำหนัก-ความสูงเก่ง คิดตามเหตุตามผล และชอบเล่นหมากรุก หรือเกมส์วางแผน
  5. การเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
    มั่นใจในตัวเอง ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง กล้าปฏิเสธ อยู่คนเดียวได้สบาย ปลอบใจตัวเองได้ดี ดูแลตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ชอบถามตัวเองว่าเกิดมาทำไม จุดหมายชีวิตคืออะไร และตั้งเป้าหมายของชีวิต
  6. การเข้าใจผู้อื่นและมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence)
    มีเพื่อนหลายกลุ่ม ชอบช่วยเหลือคน เข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้ดี สังเกตุอารมณ์คนอื่นได้ ชอบทำงานอาสาสมัคร
  7. การเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist Intelligence)
    เดาได้ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร ชอบธรรมชาติ ชอบใช้วัสดุธรรมชาติ ชอบทำอาหาร ปั้นดินเผา หล่อโลหะ มีเซนส์ทางนี้ ปลูกต้นไม้งาม ชอบอยู่นอกห้องแอร์ ชอบสังเกตุสภาพแวดล้อม เอาตัวรอดในสถานการ์ืต่างๆได้
  8. ดนตรีและจังหวะ (Musical Intelligence)
    ชอบฟังเพลง เล่นดนตรี ชอบเคาะหรือทำอะไรเป็นจังหวะ แยกเสียงเครื่องดนตรีได้ ชอบแปลงเพลง
อัจฉริยะสร้างได้ กล่าวว่า เราสามารถฝึกให้เป็นอัจฉริยะได้ในทุกๆด้าน อ่านแล้วก็อาจจะพบว่าเราเอง และคนใกล้ตัวก็เป็นอัจริยะในหลายๆด้านเหมือนกัน อัจฉริยะสร้างได้จะบอกถึงวิธีสังเกตุความอัจฉริยะ และวิธีพัฒนาอัจริยภาพในด้านต่างๆ และมีบทความจากผู้ที่เป็นอัจฉริยะด้านต่างๆให้อ่านด้วย โดยทั้งหมดเป็นผู้ชนะและผู้เข้าร่วมรายการอัจฉริยะข้ามคืน

อย่างที่บอก นอกจากเป็นหนังสือดีแล้ว ยังกระตุ้นกำลังใจอีก คือจะบอกให้เราพยายามฝึกฝน ฝึกฝน ฝึกฝน อย่างที่เคยเขียนไว้ในไม่มีอะไรทำไม่ได้ ยังไงยังงั้น เพราะสมองจะสร้างเส้นใยใหม่ๆมา ถ้าเราไม่ฝึกต่อไป เส้นใยใหม่ที่ไม่แข็งแรงก็จะหายไป และอัจฉริยะสร้างได้ก็บอกให้เราเปิดตัวเอง เปิดใจ และไม่ให้จัดประเภทของคนและสิ่งของมากจนเกินไป คุยกับคนใหม่ๆ ทำสิ่งใหม่ๆ อันนี้ก็ตรงกับที่เคยเขียนในลองทำอะไรใหม่ๆ!เหมือนกัน เพราะสมองจะหลั่งสารแห่งการเรียนรู้ หรือ โดพามีน (Dopamine) ออกมาทุกครั้งที่เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ หรือแม้แต่ได้ของใหม่ก็ตาม ทำให้เรารู้สึกมีความหวัง รู้สึกสดชื่น เต็มๆในอก และถ้าสมองหลั่งโดพามีนออกมาบ่อยๆ มันก็จะหลั่งโดพามีนออกมาอย่างง่ายดายในครั้งต่อๆไป เราก็มีความสุข มีความหวัง

นอกจากนี้ คุณหนูดียังแนะทิปที่ดีกับสมองหลายอย่าง เช่น นั่งตัวตรง ยืนตัวตรง เพราะจะทำให้ร่างกายรับอ็อกซิเจนได้เยอะ และก็ไปเลี้ยงสมองได้ดี และก็จิบน้ำบ่อยๆ เพราะสมองมีน้ำเป็นส่วนประกอบเยอะ น้ำดีต่อสมองค่ะ

อย่างไรก็ตาม อัจฉริยะสร้างได้นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของหนูดีเยอะ ว่าทำอะไรมาบ้าง และทำได้ดี โดยจากที่อ่านดู หนูดีเป็นคนที่ขยันและตั้งใจเรียน เหมือนเด็กสอบได้ที่หนึ่งทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าอยากเก่งเหมือนหนูดี นอกจากจะใช้เทคนิคต่างๆที่เธอแนะนำแล้ว ก็ขอบอกว่า ต้องขยันๆและตั้งใจด้วยจ๊ะ ใช้อิทธิบาท 4 แบบชาวพุทธเราเลย คือ มีความรักความชอบก่อน แล้วก็พยายาม แล้วเอาใจใส่ และคิดพิจรณาวิเคราะห์ว่า เราจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นได้ หนูดีเองก็บอกว่า
สมองชอบจำในสิ่งที่ชอบ
และ
เรื่องที่เกี่ยวกับสมองทุกเรื่องมีหลักการเดียว คือ ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน

และอีกอย่าง
คนเราทำอย่างเดียวให้ดี...ไม่ดีหรอก แต่เราควรทำอย่างหนึ่งให้ดีเลิศไปเลย แล้วทำอย่างที่เหลือให้ดี...จะดีกว่า


ดู เสริม อัจฉริยะสร้างได้...แบบคนไทย

11 August 2007

ภาพสีน้ำมันที่สวยที่สุด

ชายคนหนึ่งเริ่มเรียนวาดรูปสีน้ำมันอย่างมีความสุข ท้องฟ้าที่เขาวาดออกมานั้น เป็นสีม่วง ทุ่งหญ้าเป็นสีน้ำตาล ซึ่งเขาก็พอใจกับมันมาก

ผู้ชายคนนี้ เขาตาบอดสีตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่า เขาอยากเรียนวาดรูปเพื่อที่คนตาบอดสีอย่างเขาจะได้เห็นภาพสวยๆ เหมือนกับคนอื่นบ้าง ส่วนคนตาไม่บอดสี ก็จะได้เห็นรูปที่มีสีสันแปลกตาด้วย

ดีไหมหละ ตาบอดสีก็เรียนวาดรูปสีน้ำมันซะเลย อย่าคิดว่าสิ่งที่เราไม่มีหรือเป็นไม่เหมือนคนอื่น เป็นปมด้อยหรือข้อบกพร่อง ถ้าเราเรียนรู้ที่จะยอมรับ และอยู่กับมัน เราก็จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหมๆ่ สำหรับคนแบบเราที่มีอยู่ในโลกได้ เพิ่มความหลากหลายให้องค์ประกอบของโลกให้หลากหลายมากขึ้นไปอีก

แผ่พรหมวิหาร 4 เป็นภาษาอังกฤษ


May all sentient beings have happiness and its causes;
May all sentient beings be free of suffering and its causes;
May all sentient beings not be separated from sorrowless bliss;
May all sentient beings abide in equanimity, free of bias, attachment and anger.

* Immeasurable Love อัปปมัญญาเมตตา ความรักไม่มีที่สิ้นสุด

May all sentient beings have happiness and its causes.

มีความรักที่จริงใจและหวังให้ผู้อื่นและสัตว์อื่นมีความสุข และได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพที่ดีหรือชีวิติที่น่าพอใจ เรียกว่ามี Loving-kindness ทำได้โดยการ "นึกถึงความดีที่คนอื่นและสัตว์อื่นมีต่อเรา" คนไม่รู้จักหรือสัตว์ก็ทำความดี ทำประโยชน์ให้เราเหมือนกัน "นึกถึงความเท่าเทียมกันของทุกคน" ฉันกับเธอเหมือนกัน เรามีความต้องการความรักและความสุขเหมือนกัน และเราก็มีความทุกข์เหมือนๆกัน ความเจ็บป่วย ความหิว ความหนาว ความเหงา การเรียนรู้ที่จะให้ความรักและความเมตตากับคนอื่น เหมือนกับการค้นพบความอุดมสมบูญณ์อันไม่สิ้นสุดในตัวเรา เพราะยิ่งเราให้ความรักความเมตตาไปมาก มันก็จะยิ่งกลับมาหาเรามากเช่นกัน

* Immeasurable Compassion อัปปมัญญากรุณา ความกรุณาไม่มีที่สิ้นสุด

May all sentient beings be free of suffering and its causes.

มีความสงสารและต้องการช่วยให้เขาพ้นจากทุกข์ ต้องอาศัยการเป็นผู้ฟังที่ดี สติ ความอดทน การให้อภัย การมีความกรุณากับคนที่ทำไม่ดีต่อเรา ต้องอาศัยความเข้าใจในสถานะการณ์ของเขา และ เข้าใจว่าที่เขาทำไม่ดี เป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในความควบคุมของตัวเอง เขาถูกควบคุมด้วยอารมณ์ที่มืดมนและความคิดที่ไม่ดี



* Immeasurable Joy อัปปมัญญามุทิตา ความยินดีอย่างไม่สิ้นสุด

May all sentient beings not be separated from sorrowless bliss.

การมีความยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดีและมีความสุข อยากให้เขามีความสุขทั้งตอนนี้ และในอนาคต สิ่งนี้เป็นการป้องกันและกำจัดความอิจฉาไปจากใจเราได้ดี








* Immeasurable Equanimity อัปปมัญญาอุเบกขา ความสงบและการวางเฉยอย่างไม่มีประมาณ

May all sentient beings abide in equanimity, free of bias, attachment and anger.

การมีความสงบและการวางเฉย ต้องอาศัยความรู้สึกเคารพต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆเท่าๆกัน และตัดความไม่ดี 3 อย่างให้ได้
1. ความติดยึด ตัดได้ด้วยการคิดว่า ไม่มีอะไรยั้งยืน ความสัมพันธ์กับทุกคนในชีวิตเราก็ไม่ยั่งยืน คนที่ชอบและไม่ชอบมันก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นตลอดไป แม้ชีวิตเราก็ไม่ยังยืน เมื่อรู้อย่างนี้ก็จะรู้ว่า มันไม่มีสิ่งอะไรให้เรายึดติดได้เลย เพราะไม่มีอะไรยั่งยืนอยู่ดี
2. ความเฉยเมยไม่สนใจ อาจเป็นต่อคนไม่รู้จัก หรือรู้จักก็ตาม ตัดได้ด้วยการ "นึกถึงความดีที่คนอื่นและสัตว์อื่นมีต่อเรา" เราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่มีไฟฟ้าใช้แน่
3. ความโกรธและความประสงค์ร้าย ตัดได้ด้วยการคิดถึงว่า คนที่มาทำไม่ดีต่อเรา เป็นเพราะอะไร ความไม่ดีของเราทำให้เขาโกรธหรือเปล่า และคิดว่าที่เขาทำไม่ดีนั้นเป็นเพราะ เขาไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของตัวเอง เขาถูกควบคุมด้วยความมืดมน เศร้าหมอง การที่เราจะโกรธเขาตอบก็จะทำให้แย่ไปกันใหญ่ และความโกรธก็เป็นกรรมอย่างนึก เราโกรธเราก็จะได้ผลที่ไม่ดีกลับมา
ถ้าเราตัดความไม่ดีเหล่านี้ได้ ก็จะมีความวางเฉย เมื่อผลกรรมตามมาถึงเราหรือผู้อื่น มันก็จะไม่ทำให้ใจเราเศร้าหมอง

May you have happiness and its causes;
May you be free of suffering and its causes;
May you not be separated from sorrowless bliss;
May you abide in equanimity, free of bias, attachment and anger.


Add to Google Reader or Homepage